8 พฤติกรรมที่ใคร ๆ มองว่าสกปรก แต่จริง ๆ แล้วมีประโยชน์กว่าที่คิด

มนุษย์เราชอบทำพฤติกรรมเดิม ๆ จนติดเป็นนิสัย บางคนอาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับ “ทฤษฎี 21 วัน” ที่อธิบายถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกกรรมของมนุษย์ โดยเรากระทำสิ่งนั้น ๆ ต่อเนื่องอย่างน้อย 21 วัน จะกลายเป็น ” นิสัย ” ขึ้นมาได้ แต่จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ระบุว่าคุณจะต้องมีปรับพฤติกรรมอย่างน้อย 66 วัน จึงจะติดเป็นนิสัยได้

อย่างไรก็ตามนิสัยและพฤติกรรมที่ไม่ดี หรือหลาย ๆ สิ่ง ที่คนมองว่าสกปรก ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เราเคยคิดมาก่อนก็ได้ และวันนี้เราจะพาไปชมพฤติกรรมน่ารังเกียจที่ใครหลายๆ คน มองว่าสกปรก
แต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของเรามากกว่าที่คิด

1. ฉี่ตอนอาบน้ำ

มันอาจจะดูไม่เหมาะที่เราจะพูดบอกใคร ๆ ว่าเราฉี่ตอนอาบน้ำ แต่นักวิจัยพบว่าคนเกือบ 75% เคยฉี่ตอนอาบน้ำอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่มีอะไรที่ต้องอายเลย เพราะฉี่ของเรานั้นมีกรดและแอมโมเนีย ที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อราที่นิ้วเท้าของเราได้ นอกจากจะมีประโยชน์แล้ว ยังช่วยเราประหยัดน้ำและทิชชูได้อีกด้วย

2. การบ้วนน้ำลาย

การบ้วนน้ำลายนั้นเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและดูน่าขยะแขยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าทำในที่สาธารณะ อย่างไรก็ตามเมื่อเราออกกำลังกาย การบ้วนน้ำลายอาจช่วยให้เราหายใจได้ง่ายขึ้น เพราะตอนเราออกกำลังกายเรามักจะหายใจทางปากช่วย และสิ่งนี้ทำให้เกิดน้ำลายมากขึ้น ทำให้รบกวนการหายใจของเราได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องบ้วนน้ำลายทิ้ง เพื่อกำจัดเมือกน้ำลายที่ผลิตมากเกินไป เพื่อช่วยให้เราหายใจทางปากได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

3. เคี้ยวหมากฝรั่ง

แม้ว่าหมากฝรั่งจะไม่ได้มีประโยชน์ทางโภชนาการ แต่มันได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าการเคี้ยวหมากฝรั่งนั้น ช่วยให้การเรียนและการทดสอบได้ดีกว่าคาเฟอีน โดยหมากฝรั่งช่วยให้คุณมีสมาธิ สามารถโฟกัสสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น, เพิ่มความจำ, ลดความเครียด และปรับสมดุลฮอร์โมนของเราได้ด้วย

4. การผายลม

เราอาจจะไม่ทราบว่าร่างกายของเราจะปล่อยก๊าซออกมาประมาณ 14 ครั้งต่อวัน โดยที่เราไม่รู้ตัว และประมาณ 3-5 ครั้งระหว่างที่เรานอนหลับ ซึ่งตามปกติแล้วระบบทางเดินอาหารของเราจะเริ่มผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซมีเทนประมาณ 6 ชั่วโมงหลังจากรับประทานอาหาร การผายลมจะช่วยให้ร่างกายของเรากำจัดสิ่งเหล่านี้ออกไปจากร่างกาย หากเราพยายามกลั้นแก๊สเอาไว้อาจทำให้เกิดอาการปวดท้องหรือท้องอืดได้

5. การเรอ

การเรอออกมาเป็นครั้งคราวเป็นเรื่องปกติ เป็นไปตามธรรมชาติ เพราะกลไกร่างกายใช้กำจัดลมที่ค้างอยู่ในกระเพาะอาหารและลำไส้ โดยเฉพาะหลังอาหารมื้อหนัก ท้องเฟ้อพุงขยายแน่นไปด้วยอาหารและลม เรอออกมาเพื่อขจัดลมเหลือแต่อาหาร จะช่วยผ่อนคลายความแน่นและอึดอัดลงได้ จึงทำให้เรารู้สึกสบายขึ้นมาก แต่หากเราไม่ยอมที่จะเรอออกมาอาจทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารกลับขึ้นไปยังหลอดอาหาร ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอกได้ แต่ถ้าคุณเรอมากเกินไปตลอดทั้งวันคุณอาจจะต้องไปพบแพทย์ เพราะอาจจะเป็นอาการของโรคกรดไหลย้อนได้

6. การกัดเล็บ

เมื่อคุณกัดเล็บ คุณจะกินแบคทีเรียบางตัวเข้าไป ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของคุณเริ่มผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาว เพื่อป้องกันแบคทีเรียเหล่านี้ ถ้าหากแบคทีเรียเหล่านี้เข้ามาให้ร่างกายอีกครั้ง ร่างกายของคุณจะมีเซลล์เม็ดเลือดขาวที่สามารถเอาชนะมันได้ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าเด็กที่ดูดนิ้วมือหรือแทะเล็บ มีโอกาสน้อยที่จะเป็นโรคภูมิแพ้

7. แคะขี้มูกมากิน

พฤติกรรมการ “แคะขี้มูกมากิน” ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่สกปรก แต่นักวิทยาศาสตร์เผย “กินขี้มูก” ดีต่อร่างกาย เพราะขี้มูกมีเชื้อแบคทีเรียดีๆ อยู่สูงมาก จึงช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันในการป้องกันเชื้อโรคต่างๆ ให้ทำงานได้ดีขึ้น สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบหายใจ, ติดเชื้อจากแผลในกระเพาะอาหาร อีกทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้แบคทีเรียที่ทำให้ฟันผุไปเคลือบอยู่ที่ผิวฟันด้วย

8. บางวันไม่อาบน้ำ

ถ้าคุณอาบน้ำทุกวัน จะทำให้น้ำมันหอมระเหยที่จำเป็นต่อความชุ่มชื่น ที่อยู่ตามผิวหนังและผมของคุณถูกชะล้างออกไป แม้กระทั่งการอาบน้ำอุ่นโดยไม่ถูสบู่ก็สามารถทำลายแบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อผิวของคุณ ดังนั้นเพื่อความเปล่งปลั่งและสมดุลของผิว ถ้าไม่อาบน้ำ 1-2 วันต่อสัปดาห์ถือได้ว่าเป็นทางเลือกที่ดีต่อผิวของคุณ

ถึงแม้ว่าพฤติกรรมต่าง ๆ จะมีประโยชน์และดีต่อสุขภาพของเรา แต่ก็ยังถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมน่ารังเกียจอยู่ดี แถมยังส่งผลให้เราเสียบุคลิกภาพอีกด้วย ถ้าจะทำก็เนียน ๆ แอบทำไม่ให้คนอื่นเห็นจะดีกว่าเนอะ ^ ^

ที่มา l brightside