“นักล่าปูอลาสก้า” ถึงแม้รายได้โคตรดี แต่ชีวิตมันก็ไม่สบายขนาดนั้น

เชื่อว่าทุกคนเคยได้ยินชื่อ “ปูอลาสก้า” แต่ไม่ใช่ทุกคนที่รู้จักเรื่องราวของ “นักล่าปูอลาสก้า” ที่ว่ากันว่าเป็นอาชีพที่อันตรายที่สุดในโลก หลายคนเอาชีวิตไปทิ้งในท้องทะเล หลายคนเสียแขน และพิการ นั่นคือความโหดร้ายของอาชีพนี้

แต่หากพวกเขาฝ่าฟันจนเอาชนะคลื่นลมได้ เงินก็ย่อมไหลมาเทมามหาศาล ที่สำคัญขอบอกว่าคลื่นในทะเลที่เขาไปจับปูอลาสก้า ถือว่าเป็๋น “จุดที่โหดที่สุดในโลก” ส่วนจะระทึกมากแค่ไหนตามมาชมกันได้เลย

 

1. ในแต่ละปีทุกคนจะมุ่งสู่ทะเล Bering Sea โดยปูที่จะถูกจับตามองก็คือ King Crab และ Opilio Crab ซึ่งปูสองชนิดนี้จะออกมาเพ่นพ่านอยู่ราว 2 เดือนเท่านั้น และกัปตันต้องตัดสินใจว่าว่าจะใช้เวลากับปูแต่ละชนิดนานกี่สัปดาห์

 

2. Bering Sea คือทะเลที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกที่แสนห่างไกลของรัสเซียและอลาสก้า ที่นี่ขึ้นชื่อว่ามีกระแสน้ำอันบ้าคลั่ง น้ำแข็ง และสภาพอากาศระดับนรกแตก จนได้ชื่อว่า “จุดการทำประมงที่อันตรายที่สุดในโลก” และมีฉายาว่า “a continuous storm” (ดินแดนที่มีพายุคลั่งสาดลงมาแบบไม่จบไม่สิ้น)

 

3. คลื่นโดยปกติของทะเล Bering Sea จะเรียกได้ว่าท้าตายสุดๆ เพราะสูงถึงราว 50 ฟุต (ทั้งที่ปกติจะสูงราว 10-20 ฟุตเท่านั้น) แถมบางทียังสูงจนถมทับเรือได้สบาย เพราะความสูงระดับบ้าระห่ำ 80 ฟุตก็มี เรียกได้ว่าเหมือนปะทะซึนามิดีๆ นี่เอง

 

4. การจับปูอลาสก้าคุณแทบไม่มีเวลานอนหลับ เพราะพายุจะซัดตลอดเวลา และเรือที่สั่นโครงเครงมันโหดยิ่งกว่าอยู่ในนรกซะอีกและคุณไม่มีทางหลับลง

 

5. โดยปกติเรือจะจอดอยู่ในโซนใดโซนหนึ่งนานราว 5-12 วัน และใช้เวลาราว 1-2 วันเพื่อไปให้ถึงที่นั่น

 

6. ก่อนออกเรือสู่ทะเลคลั่งในอลาสก้า เรือทุกลำต้องบรรทุกอาหารที่กินเพียงพอสำหรับ 3 เดือน และเชฟบนเรือก็มักนำบรรดาปูนี่แหละมาปรุงบ่อยๆ ฉะนั้นชาวประมงจำเป็นต้องรักษาหุ่นมาก เพราะพวกเขาจะอ้วนง่ายสุดๆ และบางครั้งชาวประมงก็สนุกกับการป้อนอาหารให้สิงโตทะเล

 

7. ถ้าทุกอย่างเป็นใจ เรือจะได้ปูมาเต็มลำในเวลาเพียง 3 วัน แต่ถ้าฟ้าไม่เป็นใจก็ต้องใช้เวลานานถึง 8-9 วันกว่าจะได้กลับบ้าน (และนั่นหมายความว่าจะเปลืองน้ำมันมากขึ้นด้วย)

 

8. วิธีการจับปูที่ใช้คือการโยนกรงจับปูที่เรียกว่า Crab Pots ลงไปในทะเล

 

9. แม้แต่กัปตันประสบการณ์สูงก็ยังไม่รู้ว่าปูอยู่ที่ไหน และบางทีก็คว้าน้ำเหลวได้ จนชาวประมงบอกกันว่า “คุณไม่มีทางรู้เลยล่ะว่า ในกรงจับปูจะมีปูสักตัวติดมามั้ย เพราะมันอาจว่างเปล่าก็ได้”

 

10. กรงจับปูมีน้ำหนักมากกถึง 800 ปอนด์ แม้จะไม่มีปูอยู่ในนั้นก็ตาม และถ้านำขึ้นมาแล้วว่างเปล่า พวกเขาก็ต้องยกขึ้นมาเพื่อย้ายจุด

 

11. ชาวประมงจะทำการคัดปูเฉพาะตัวที่ได้มาตรฐานเข้าคลังท้องเรือเท่านั้น และตัวที่ไม่เวิร์กจะถูกโยนกลับสู่ทะเล

 

12. ในเรือมักเต็มไปด้วยเหยื่อล่อ และกรงจับปู มันรกใช้ได้เลยล่ะ

 

13. กัปตันส่วนใหญ่จะห้ามไม่ให้ลูกเรือถ่ายรูปหรือสนใจอย่างอื่น เพราะหากสมาธิไม่อยู่กับตัว นั่นอาจหมายถึงชีวิตที่อาจหลุดลอยไปในพริบตา

 

14. ลูกเรือต้องทำงานรวด 20 ชั่วโมง เป็นเวลา 3-7 วัน และนั่นก็เหนื่อยนรกเชียวล่ะ

 

15. การจับปูอลาสก้าเหมือนพาตัวเองไปเสี่ยงดวง มันเหมือนซื้อหวย เพราะแม้แต่กัปตันก็ไม่รู้ว่าจะคว้าน้ำเหลวรึไม่

 

16. แต่แม้มันจะกดดันและบ้าระห่ำมาก แต่งานนี้ก็ท้าทายมากเช่นกัน และมันสนุกมากทุกครั้งที่ได้แบ่งปันเรื่องราวการผจญภัยแบบโคตรมันกับเพื่อนบนเรือแต่ละคน

 

17. บางทีเครนที่ใช้ยกกรงจับปู ก็เกิดข้อผิดพลาดและปล่อยให้กรงขนาด 800 ปอนด์ตกลงมาใส่หัวใครก็ได้ ซึ่งนี่ถือเป็นอันตรายที่เรือแทบทุกลำต้องเจอ

18. ถ้าคุณเอาชนะทะเลคลั่งได้ ถ้าคุณรอดชีวิตกลับมาได้อย่างประสบความสำเร็จ ภายในเรือมักจะเต็มไปด้วยปู Opilio Crab 200,000 ตัว และ King Crabs 150,000 ตัวต่อลำ

 

19. ก่อนจะออกไปจับปูอลาสก้าแต่ละครั้งจะต้องเตรียมตัวเตรียมเรือประมาณ 2 เดือน แต่การออกไปจับส่วนใหญ่ใช้เวลาแค่ 5 วันเท่านั้น

 

20. จากรายละเอียดที่กล่าวมาทั้งหมด ชาวประมงจะมีราคาได้ราว 5 แสนบาท/คน