ชีวิตมนุษย์ทุกคนประกอบด้วยห้องสามห้อง…

ห้องทั้งสามนี้เรียงต่อกันเป็นแถว มีประตูเชื่อมกันห้องต่อห้อง ห้องที่หนึ่งคือห้องอดีต เชื่อมกับห้องที่สองคือห้องปัจจุบัน ซึ่งเชื่อมกับห้องที่สามคือห้องอนาคต

ตัวตนทางกายภาพจริงๆ ของเราอยู่ในห้องปัจจุบัน เราไม่สามารถอยู่ในห้องอดีตและห้องอนาคตได้ เพราะห้องปัจจุบันเป็นพื้นที่ทางกายภาพ ส่วนห้องอดีตกับห้องอนาคตเป็นห้องเสมือนจริง (virtual reality rooms) ห้องอดีตเป็นพื้นที่ในฝันของเรา ส่วนห้องอนาคตเป็นเพียงอากาศธาตุ มันเป็นผลรวมของเหตุการณ์ที่สะสมกันมาหรือจินตนาการของเรา มันไม่มีอยู่จริง แต่จิตของเราสามารถอยู่ได้ในทั้งสามห้อง

หากจิตของเราอยู่ในห้องปัจจุบัน เรียกว่ามี ‘สติ’ หากจิตอยู่ในห้องอดีตหรืออนาคตเรียกว่า ‘ใจลอย’ หรือ ‘ฟุ้งซ่าน’

ห้องอดีต ห้องปัจจุบัน และห้องอนาคตจะเปลี่ยนสภาวะไปทุกวินาที ทุกๆ ขณะจิต ห้องปัจจุบันจะกลายเป็นห้องอดีต ห้องอนาคตจะกลายเป็นห้องปัจจุบัน

ห้องปัจจุบันถูกขนาบด้วยห้องอดีตและห้องอนาคตเสมอ เราอยู่ห้องกลาง ไปทางซ้ายเป็นอดีต ไปทางขวาเป็นอนาคต เนื่องจากความคิดเราสามารถเดินทางไปมาระหว่างสามห้องนี้ได้อย่างง่ายดาย เรามักพบตัวเองเกิดอาการ ‘ใจลอย’ คือกายอยู่ในห้องปัจจุบัน แต่ใจเปิดประตูไปอยู่ที่ห้องอื่น ผลก็คือเราอาจเสียเวลาของชีวิตท่อนนั้นๆ ไป

ห้องอดีตประกอบด้วยชั้นวางเหตุการณ์เรียงตามลำดับเวลา

ชั้นแรกแถวแรกคือเหตุการณ์วันที่เราเกิด ถัดมาเป็นเหตุการณ์วันที่เราเติบโตเป็นเด็ก ชีวิตในโรงเรียน วันที่ไม่สบาย วันที่ไปดูหนัง ฯลฯ

ห้องปัจจุบันเป็นห้องค่อนข้างว่าง มีข้าวของนิดหน่อยพอให้เราทำอะไรก็ได้ที่จะทำ

ห้องอนาคตประกอบด้วยชั้นวางเหตุการณ์ต่าง ๆ ไม่เป็นระเบียบ สับสนปนเป เหตุการณ์เหล่านี้เป็นภาพฝันที่เปลี่ยนรูปได้

ห้องอดีตเคยมีตัวตนทางกายภาพจริง แต่ตอนนี้มันไม่มีแล้ว ห้องอนาคตก็ไม่มีจริงเพราะมันยังมาไม่ถึง มันเป็นแค่ภาพที่เราสร้างขึ้นมา ไม่ว่าเราจินตนาการอะไร มันก็จะปรากฏในห้องอนาคต เช่น จินตนาการว่าเราจะเป็นแชมเปี้ยนนักวิ่ง ห้องอนาคตก็จะปรากฏเหตุการณ์เราเป็นแชมเปี้ยนนักวิ่งขึ้นมาทันใด แต่มันยังเป็นพื้นที่เสมือนจริง ไม่ใช่ความจริง

เราจะทำให้ภาพ virtual เป็นจริงได้ก็เมื่อเราทำการบางอย่างในห้องปัจจุบัน แล้วส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อไปในห้องอนาคต แปลงสภาพ virtual ให้เป็นจริง

ห้องปัจจุบันมีอยู่จริงก็จริง แต่มันอยู่เพียงแวบเดียว ก็แปลงสภาพเป็นห้องอดีตอย่างรวดเร็ว วินาทีต่อวินาที นาทีต่อนาที

ดังนั้นหากชั่วโมงนี้เรานั่งฝันฟุ้งซ่าน ก็เท่ากับว่าชั่วโมงนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นในชีวิตของเรา เราเสียเวลาชีวิตไปหนึ่งชั่วโมงฟรีๆ

หากฟุ้งซ่านหนึ่งวัน ก็เสียเวลาชีวิตไปหนึ่งวันฟรีๆ

ดังนั้นการวิตกเรื่องของวันพรุ่งนี้จึงเป็นการเสียเวลา เสียพลังงานเปล่า ๆ ที่ประหลาดก็คือบางคนสามารถทำลายห้องปัจจุบันได้เป็นปี ๆ รู้ตัวอีกทีก็อยู่ในห้องสุดท้ายของชีวิตเสียแล้ว

เราสามารถวาดฝันถึงอนาคตได้ทุกอย่าง แต่จุดปฏิบัติการอยู่ที่ห้องปัจจุบันเสมอ ไม่ว่าคิด-ทำอะไร มันก็จะกระทบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องอนาคต

ทางพุทธสอนให้ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน เป็นการเตือนสติไม่ให้เราเสียโอกาสใช้ห้องปัจจุบันโดยไม่จำเป็น

บางคนอาจถามว่า ไม่ใช้ห้องปัจจุบันแล้วจะเป็นไร ในเมื่อมันเป็นชีวิตของเรา แต่เราต้องไม่ลืมว่าห้องสามห้องนี้ไม่ได้มาฟรีๆ มันมีค่าเช่า ค่าเช่าก็คือเวลาและพลังงานของเรา

กินข้าวอิ่มแล้วกลุ้มใจเรื่องอดีตหรือกังวลเรื่องอนาคตจึงเสียข้าวสุก

ความจริงคือเราแก้ไขอดีตไม่ได้ ไม่ว่าจะอยากแก้แค่ไหน แต่เราอาจเปลี่ยนอนาคตได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา ณ ขณะจิตนี้

ชีวิตของเราทุกคนคือเวลาปัจจุบันเท่านั้น ไม่ใช่อดีตหรืออนาคต โอกาสที่จะสร้างสรรค์หรือทำลายชีวิตเรามีอยู่ ณ ขณะจิตนี้ ณ ห้องปัจจุบันนี้เท่านั้น

จะทำอะไรก็ทำ เพียงแวบเดียวห้องแห่งนาทีนี้ก็กลายเป็นห้องอดีตแล้ว

และอีกแวบเดียว เราก็อยู่กับนาทีสุดท้ายของชีวิตแล้ว

ขอบคุณที่มา : คุณวินทร์ เลียววาริณ
ติดตามเรื่องราวดีๆ ได้ที่ อ่อนแอ